ตำราดูทำเลที่ตั้ง ฮวงจุ้ย มีจริงหรือ เชื่อถือได้แค่ไหน

ตำราฮวงจุ้ยเมืองจีน ยังมีคุณค่าดำรงไว้พื่อศึกษาต่อไปหรือไม่ ปัจจุบันคนที่จะเข้าใจ ความเป็นมาของวิชานี้ และใครครวญพิจารณาถึงผลของตำรานี้มีน้อยมาก แต่ก็สามารถนำวิชาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาค้นคว้าตำราเหล่านี้แล้วพิสูจน์อธิบายให้ได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจได้ ทุกท่านคงทราบดี วิชาวิทยาศาสตร์ไม่ใช่มีเฉพาะในประเทศทางฝั่งตะวันตกเท่านั้นคำว่าวิทยาศาสตร์โดยความหมายกว้าง ๆ หมายถึง องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่มีการจัดการเป็นระเบียบ มีการจัดตั้ง และมีระบบให้ค้นคว้าได้ ต่างก็นับได้ว่าเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบขั้นพื้นฐานอยู่ 3 ข้อ

  1. ข้อที่ 1 วิชานั้นต้องมีมูลเหตุของที่มา และสามารถอธิบายเหตุผลได้
  2. ข้อที่ 2 วิชานั้นต้องมีระบบ และการจัดระเบียบที่ดี คงความเป็นอยู่ของเหตุผล
  3. ข้อที่ 3 มีวิธีการที่สามารถนำไปใช้ได้ พิสูจน์ได้

ตำราฮวงจุ้ย ต้นกำเนิดมาจากตำรา “อี้จิง”   พูดถึง ช่วยที่สืบทอดว่า( พูดถึงการสร้างฟ้า จะเรียกว่าหยินกับหยาง หยินก็คือมืดหรือดำ หยางก็คือสว่างหรือขาว  พูดถึงการสร้างแผ่นดิน จะเรียกว่า ความแข็งและความอ่อน) นักปราชญ์ของจีนในสมัยโบราณ เชื่อว่าท้องฟ้ามีเหตุผลของความมืดและความสว่าง เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของหยิน-หยาง บนท้องฟ้า มากำหนดเป็นฤดูกาล ของสภาพอากาศ  และนักปราชญ์ยังเชื่ออีกว่า พื้นดินมีความแข็งและความอ่อนเฝ้าสังเกตุความแข็งและความอ่อนของพื้นดิน เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นต้นน้ำลำธาร ทิวเขา ที่ราบ (ความเปลี่ยนแปลงของภาคพื้นดิน ซึ่งต่อมารวบรวมเป็นวิชาภูมิศาสตร์ ขึ้นอีกว่าแขนงหนึ่ง)

วิชาฮวงจุ้ยของจีน สิ่งสำคัญอันดับแรกที่มุ่งเน้น คือ ปฏิกิริยาการตอบโต้ของสรรพสิ่ง ความหมายของ “ข่วยเสียน” (ข่วยอันหนึ่งในกานบรรดาหกสิบสี่ข่วยของอี้จิง)ในตำรา “อี้จิง” กล่าวไว้ว่า “พลังงานของสองพลังงานมีปฏิกิริยาต่อกัน มีการเกิดและคล้อยตาม” นี่ก็คือปฏิกิริยาของพลังงาน ภาควิชากาบภาพในปัจจุบัน ได้มีการสอนถึงปฎิกิริยาของแม่เหล็ก ปฏิกิริยาของไฟฟ้าสถิต ปฏิกิริยาของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า  ปฎิกิริยาที่มีต่อกันและกัน ปฏิกิริยาต่อตัวมันเอง ปัจจุบันนักภูมิศาสตร์มีความเชื่อถือแล้วว่า แม่น้ำ ที่ราบ ทิวเขา  แม่น้ำ มีอิทธิพลต่อวงจรชีวิตของมนุษย์ในระดับหนึ่ง มีนักปราชญาชาวเยอรมันนาม “เฮกเกอร์” ได้กล่าวไว้ว่า “คุณสมบัติของน้ำหรืออารมณ์ของน้ำ ทำให้ฝูงชนติดต่อถึงกันอย่างสะดวก อารมณ์ของขุนเขาปิดกั้นฝูงชน กำลังของกระแสน้ำทำให้ฝูงชนรวมตัวกัน กำลังอิทธิพลของขุนเขาทำให้ฝูงชนแยกออกจากกัน” ความหมายก็คืออารมณ์ของน้ำหรือคุณสมบัติของน้ำ ต้องไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ไหลจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ ไหลจากทิศตะวันตกไปสู่ทิศตะวันออก ซึ่งทำให้ฝูงชนในสมัยโบราณใช้เรือเป็นยานพาหนะสัญจรไปมาทางน้ำได้สะดวกรวดเร็ว ติดต่อถึงกัน คุณสมบัติของขุนเขา เมื่อเกิดขุนเขาขึ้นยาวหลายร้อยกิโลเมตร  ก็จะปิดกั้นทางสัญจรที่สะดวกของฝูงชน กำลังกระแสน้ำไหลมาบรรจบ ณ จุดใดเพื่อขยายต่อเป็นเป็นลำน้ำใหญ่ขึ้น จุดบริเวณนั้น ก็จะเป็นที่รวมตัวของฝูงชนเกิดชุมชนขึ้นมา กำลังอิทธิพลของขุนเขา เมื่อเกิดแผ่นดินไหวหรือแผ่นดินแยกตัว แล้วผุดขุนเขาขึ้นมาอีก ขุนเขานี้ก็จะแยกฝูงชนให้ห่างกัน จุดหลักสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เน้นหาคุณสมบัติภายในของสรรพสิ่งแต่เป็นการค้นคว้าวิจัยระบบการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันนั้นก็คือ ปฏิกิริยาตอบรับ และปฏิกิริยาต่อต้าน ก็คือเหตุผลการคงอยู่ของปฏิกิริยา ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เหล่านักวิทยาศาสตร์ ได้ค้นคว้าและพิสูจน์มาแล้วต่างก็เป็นคุณสมบัติส่วนหนึ่งของวิชาฮวงจุ้ย ไม่ใช่วิชาอีกแขนงหนึ่งในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เช่นนั้นหรือ

วิชาฮวงจุ้ยของจีน ในยุคโบราณเก่าแก่ใช้แค่ทำนายทายทักทำเลที่อยู่อาศัย และที่ฝังศพ ต่อมาในยุคจีนโบราณ สมัยจีนกลาง (ประมาณ 2 พันปี) ได้มีวิวัฒนาการใช้วิชาฮวงจุ้ยมาตรวจดูทำเลที่อยู่อาศัย และที่ฝังศพ พัฒนาจากรูปธรรม-นามธรรม  มาสู่ขั้นตอนของการพิสูจน์ความเป็นไปได้ของวิชาฮวงจุ้ย วิธีการของฮวงจุ้ย 1. การหาทำเลตำแหน่งที่ตั้ง 2. ทิศทาง 3. ระยะใกล้ไกล 4. ช่วงระยะเวลานานหรือสั้น ทั้ง 4 อย่างนี้ต่างก็มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพัน แทรกแซง ซึ่งกันและกัน เป็นเหตุผลนำไปปฏิบัติเหมือนกัน ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกมากมาย ที่ยังไม่ยอมรับ อ้างว่าเป้นทฤษฎี เวลานำมาปฏิบัติยังไม่ความแน่นอน จับต้องไม่ได้ จึงเชื่อถือไม่ได้ พูดแบบนี้  นักวิทยาศาสตร์จำพวกนี้ยังใจกว้างไม่พอ ยังคงจำกันได้ เมื่อไม่นานมานี้ประมาณ 20- 30 ปี มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เป็นชาวยิวเยอรมัน ต่อมาได้ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะเกิดขึ้น มีนามว่า ดร อัลเบริก์ ไอน์ไตน์ เป็นผู้สร้างทฤษฎีแยกสสาร อะตอม ให้แตกตัวออกอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องอย่างรุนแรง จนนำไปสร้างระเบิดปรมาณู ลูกแรกและลูกที่สองที่ไปทิ้งยังเมือง ฮิโรชิมา และนางาซากิของญี่ปุ่น จนประเทศญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้สงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 2  ในบั้นปลายชีวิตของท่านได้คิดค้นพลังงานของสรรพสิ่ง จนมีความมั่นใจมาก แล้วตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นมา ชื่อว่า “ทฤษฎีสัมพันธ์”  ทฤษฏีนี้ได้กล่าวถึงห้วงอวกาศในจักรวาลที่เราอาศัยอยู่และนอกเขตจักรวาลอันกว้างใหญ่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ซึ่งมนุษย์ในปัจจุบันไม่สามารถเดินทางไปได้ในห้วงอวกาศนี้ยังลมีมิติอีกมิติหนึ่ง เรียกว่า “มิติแห่งกาลเวลา” กาลเวลาในมิตินี้ไม่เหมือน เวลาในโลกมนุษย์ มีความเลื่อมล้ำต่างกันมาก ในอนาคต ถ้ามนุษย์สามารถสร้างยานอวกาศที่มีความเร็วเหนือแสง โดยใช้หลัก “ทฤษฎีสัมพันธ์” นี้ ก็จะสามารถนำพามนุษย์ก้าวข้ามมิติแห่งกาลเวลา สามารถไปได้ทุกหนแห่งในขอบเขตจักรวาลที่เราอาศัยอยู่ สามารถก้าวข้ามกาลเวลา ย้อนกลับไปในอดีต หรือก้าวล้ำเดินทางล่วงหน้าไปได้ในอนาคตนี่คือหลักใหญ่ของ “ทฤษฏีสัมพันธ์” ตอนที่ ดร อัลเบริก์ ไอน์สไตน์ ได้ประกาศหลักการ ของ “ ทฤษฎีสัมพันธ์” เหล่านักวิทยาศาสตร์ทางฝั่งตะวันตก ต่างยอมรับและสดุดียกย่อง ดร. อัลเบริก์ ไอน์สไตล์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ยอดอัจฉริยะและบรรดาค่ายหนังฮอลลิวู้ด ต่างก็นำเอาแนวคิดนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง มาเอาเงินจากท่านผู้ชมเป็นเงินมากมาย ทั้งๆที่ “ทฤษฎีสัมพันธ์” นี้ยังเป็นเพียงแค่ทฤษฎีหนึ่ง ยังไม่มีใครสามารถทำให้เป็นจริงได้ แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ ต่างออกมายอมรับ และสามารถทำได้ในอนาคต แล้ววิชาฮวงจุ้ยทำไมถึงบอกเป็นเรื่องงมงาย ไม่น่าเชื่อถือ

โดยเนื้อแท้แล้ว ชนเผ่าทางโลกฝั่งตะวันออก หมายถึงทวีปเอเชียมีขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม
ที่เจริญมาตั้งแต่สี่ห้าพันปีที่แล้ว ในอดีตมีบรรพชนของเราจำนวนมากมายหลายท่าน สามารถท่องเที่ยวไปทั้งโลกอดีตและโลกในอนาคตได้โดยที่ไม่ต้องใช้ยานพาหนะใดๆ ด้วยกันใช้จิตของท่านนำพาท่านไปยังอดีตและอนาคต ซึ่งได้มีการบันทึกเป็นตำนานต่างๆ เหล่านักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตก ต่างกล่าวหาเป็นเรื่องเหลวไหล งมงาย เชื่อถือไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีจริง ยกตัวอย่าง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาแห่งพุทธศาสนาท่านได้สำเร็จมรรผลชั้นสูง หลุดพ้นจากมวลสสาร ท่านสามารถล่วงรู้อดีตและอนาคต ท่านเคยกล่าวไว้ในช่วงสอนธรรมตอนหนึ่ง ท่านสามารถมองเห็นในขอบเขตจักรวาลของเรามีโลกคล้ายโลกมนุษย์อีกมากมายในอวกาศ ในเม็ดทรายเม็ดหนึ่งก็มีโลกคล้ายโลกมนุษย์เหมือนกัน แต่ท่านไม่บอกมากไปกว่านี้ ท่านบอกว่า พุทธศาสนามีทั้งหมดแปดหมื่นสี่พันสาย และสอนให้มนุษยชาติ มีความสันโดษ รู้จักพอ รู้จักให้ รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ ให้จิตสงบ มีสมาธิ ไม่ยึดติด ข้าพเจ้ามีโอกาสได้อ่านหนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน” ของอาจารย์หลี่ (หลี่หงจือ) ได้กล่าวถึงธรรมในหนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน” ก็เป็นหนึ่งในสายธรรมะของพุทธศาสนา อาจารย์หลี่ได้สอนธรรมะว่าให้มีสติ สมาธิ ไม่ยึดติด เหมือนท่านพระพุทธเจ้า ( ไว้คราวหน้าหากมีโอกาสข้าพเจ้าจะมาเล่าต่อ) ในสมัยก่อนทวีปเอเชียเป็นแหล่งรวบรวมความรู้และอารยะธรรมชั้นสูงไว้ แต่ทุกวันนี้ ชนเผ่าทางโลกซีกตะวันออก รวมทั้งชนชาวจีนในปัจจุบัน ต่างก็หลงงมงายในสังคมวัตถุนิยมที่ชาติตะวันตกได้สร้างขึ้น สิ่งใดหรือวิชาแขนงใดที่ไม่คล้อยตามเขาหรือไปขัดผลประโยชน์ของเขา พวกเขาเหล่านั้นจะไม่ยอมรับ แล้วพวกเราจะแห่ไปตามเขาทำไมล่ะ ทำไมเราไม่เอาอย่างบรรพชนของเรา ตามหลักศาสนาพุทธ ทำตัวให้มีสติ มีความพอ มีคุณธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน เมตตา อุดหนุนเกื้อกูลกัน ประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรืองได้

วิชาฮวงจุ้ย ก็เน้นเรื่องหลักปรัชญา คุณธรรมเหมือนกัน( อย่าเพิ่งหัวเราะ) ในโลกมนุษย์ สิ่งของเรื่องราวต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอหลายยุคสมัยที่ผ่านไปของจีนมีบทประพันธ์วรรณกรรมอันมากมาย เช่น ตำราอี้จิง ของเหล่านักปราชญ์  ลักธิเต๋าของเหล่าจื้อ ตำราพิชัยสงครามชองซุนจื่อ ตำราฮวงจุ้ยเป็นวรรณกรรมของชุมนุมการเปลี่ยนแปลง (หมายถึงบทความที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา) ผู้ที่ศึกษาวิชาฮวงจุ้ยของจีน ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งของหลักการแห่งการเปลี่ยนแปลง และต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประโยชน์

แรกเริ่มเดิมที วิชาฮวงจุ้ยของเมืองจีน เป็นวิชาที่ค้นคว้าวิจัยสภาพภูมิศาสตร์และสรรพสิ่ง แต่มายุคหลังๆ หมอดูฮวงจุ้ยที่ไม่มีคุณธรรม มาเปลี่ยนแปลงเสริมแต่งจนเพี้ยนไป ทำให้อนุชนรุ่นหลังที่มาศึกษาวิจัย เกิดความงุนงงและลำบากในการศึกษาต่อ ยิ่งทำให้ผู้ไม่หวังดีเป็นข้ออ้างโจมตีวิชาฮวงจุ้ยว่าไม่ดีหลอกลวง พวกเราหากต้องการนำมาศึกษาวิจัยวิชาฮวงจุ้ย ต้องไม่เหมือนอดีตที่มาของวิชาฮวงจุ้ยเป็นสิ่งประดิษฐ์ วิเศษประจำชาติจีน แต่ต้องนำเอารูปแบบของวิทยาศาสตร์มาปรับปรุงแก้ไขให้ดี ดังนั้น ผู้ที่เข้ามาศึกษาวิชาฮวงจุ้ย ควรมีความรู้ด้านวรรณคดีของจีน รองลงมาต้องมีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ควบคู่กัน จึงสามารถนำเอาความรู้นี้มาศึกษาวิชาฮวงจุ้ยให้ดียิ่งขึ้น

แนวความคิดของชนชาวจีนในยุคสมัยใหม่ ได้ก้าวไปสู่อาณาจักรของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ที่ป้อนสังคมวัตถุนิยมเข้าไปในสมอง ไม่ใส่ใจไปศึกษา หยินหยาง 5 ธาตุ ซึ่งเป็นวิชาประจำชาติมาแต่โบราณ แต่วิชานี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกล่าวถึง วิชาฮวงจุ้ยกับวิชาปรัชญาของเมืองจีน เป็นตำราเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน มีการพูดถึงเรื่องหยินหยาง 5 ธาตุ  คือ ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุทอง ธาตุน้ำ  ทั้ง 5 ธาตุ ก็ทั้งหยินและหยาง อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ ขอให้ใช้วิจารณญาณที่เที่ยงตรง ไปดูมัน ศึกษามัน ทำใจให้เป็นกลาง เพราะว่าหยินหยาง 5 ธาตุ นี้เป็นวิชาที่นำมาเปรียบเทียบกับสรรพสิ่งในธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง เช่นธาตุไม้เกิดเสียดสีนานเข้าก็เกิดเป็นธาตุไฟ ไฟถ้าเผาไหม้ไม้หรือสิ่งของจนมอดลง ก็จะกลายเป็นขี้เถ้า ขี้เถ้ามากมายทับถมนานเข้าก็จะกลายเป็นธาตุดิน ธาตุดินทับถมสิ่งของนานนับล้านปี สิ่งขอนั้นก็จะเกิดเป็นเพชรบ้าง ทองบ้าง เรียกว่าธาตุทองหรือเหล็ก เหล็กเมื่อเก็บไว้ในสถานที่ๆ มีอุณหภูมิที่ต่ำพียงไม่กี่วัน สภาพเหล็กจะมีเม็ดน้ำเกาะอยู่บนผิวของเหล็ก  เรียกว่าธาตุน้ำ สิ่งเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลง ของธรรมชาติ  ธาตุทั้ง 5 เกิดอย่างเป็นระบบ จึงจัดอยู่ในวิชาแขนงหนึ่ง ของวิทยาศาสตร์ สสารวัตถุไม่ดับสูญพลังงานไม่ดับสูญ นี่ก็เป็นกฎทฤษฎีของวิทยาศาสตร์ ร่างกายของคนเป็นสสาร วัตถุชนิดหนึ่ง เมื่อคนเราตายไปก็นำร่างกายนี้ไปฝังไว้ในพื้นดิน ร่างกายเน่าเปื่อยก็กลายเป็นดิน คืนสู่พื้นโลก สสารวัตถุก็ยังมีอยู่แต่เปลี่ยนแปลงสภาพเดิมไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง พลังงานในร่างกาย เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นพลังงานที่ทำให้ร่างกายคนเคลื่อนไหวได้ มีความนึกคิด เวลาตายไปนำไปฝัง พลังงานส่วนนี้ก็จะแปลงสภาพเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในพื้นดิน นี่เป็นหลักความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับ วิชาฮวงจุ้ยก็เช่นกัน นำเอาหยินหยาง 5 ธาตุ มาใช้ ซึ่งพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้านี้มีอยู่ทั่วทั้งโลกใบนี้ แล้วแต่ว่าผู้ที่นำมาใช้นั้นมีคุณธรรมแค่ไหน มีความสามารถเข้าใจในวิชาฮวงจุ้ยอย่างถ่องแท้หรือไม่ ที่ว่าวิชาฮวงจุ้ยเน้นเรื่องหลักปรัชญา และคุณธรรม ฮวงจุ้ยหรือทำเลที่ดี ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องมีพื้นที่ใหญ่โต พื้นที่เล็กๆ ก็มีฮวงจุ้ยดีได้ พื้นดินไม่กี่ตารางวา ก็สามารถให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง เข้าหลักปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องมีความพอเพียง พอดี วิชาฮวงจุ้ยไม่ใช่ทำแล้วทำให้คนอยู่ร่ำรวย ถ้าหมอดูฮวงจุ้ยผู้ใดบอกกับเจ้าของว่า แก้ฮวงจุ้ยแล้วจะร่ำรวย แสดงว่าหมอดูฮวงจุ้ยนั้นกำลังพูดปดกับท่าน วิชาฮวงจุ้ยที่แท้ จริง แก้ไขแล้วทำให้เจ้าของบ้านไม่สูญเสีย คือแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีออกไป ทำให้เจ้าของบ้านมีสุขภาพแข็งแรงทั้งจิตใจและกาย ทำให้มีสติ   เกิดปัญญา มีสมาธิ ไม่กังวล เข้าหลักปรัชญาให้มีสติมีสมาธิ เจ้าของทำเลผู้อยู่อาศัยหรือห้างร้าน ถ้าไม่มีคุณธรรม ฉ้อโกงเขา หลอกลวงชาวบ้าน ถึงแม้จะมีหมอดูฮวงจุ้ยที่เก่งมากคอยให้คำปรึกษาแก่ท่าน แต่ในอดีตมิติหนึ่งที่ปุถุชนธรรมดามองไม่เห็น มาคอยรังควานท่าน หรือช่างก่อสร้างให้ทำผิดองศาของที่ตั้ง รูปแบบบ้านก็จะไม่มาส่งเสริมท่าน
ท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอนำคำพังเพยของจีนโบราณมากล่าวในที่นี้

อิก เต็ก ยี่เหง ซา ฮวงจุ้ย นั้นหมายถึง

    • ความสำคัญอันดับ 1 คือ ต้องมีเต็ก ก็คือมีจริยธรรมและคุณธรรมที่ดี
  • ความสำคัญอันดับ 2 เหง คือความประพฤติที่ดี ไม่ข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอ
  • ความสำคัญอันดับสุดท้าย คือ ฮวงจุ้ย ฮวงจุ้ยที่ดี ทำให้บุคคลผู้อยู่อาศัย มีสุขภาพจิตและกายแข็งแรง มีสติปัญญา มีสมาธิในการทำงานค้าขาย ตั้งอยู่ในคุณธรรม จนมีทรัพย์สินเงินทอง

About The Author